top of page

ประวัติ A.C. Milan

Updated: Aug 24, 2017


สโมสรฟุตบอลมิลาน (อิตาลี: Associazione Calcio Milan) หรือ เอซี มิลาน (A.C. Milan) เรียกสั้น ๆ ว่า มิลาน (ภาษาอิตาลีออกเสียงว่า มีลาน) หรือที่ฉายาในสื่อไทยเรียกว่า ปีศาจแดง-ดำ เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพในเมืองมิลาน แคว้นลอมบาร์ดี้ ประเทศอิตาลี ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1899 และเป็นหนึ่งในทีมฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดทีมหนึ่งในวงการฟุตบอลของยุโรปและของโลก โดยได้แชมป์ระดับเมเจอร์รวมทั้งหมดถึง 46 รายการ อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในทีมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในอิตาลี เช่นเดียวกับ ยูเวนตุส และอินเตอร์ นอกจากนี้ยังเป็นสมาชิกของกลุ่ม จี-14 ซึ่งเป็นกลุ่มของสโมสรฟุตบอลยักษ์ใหญ่ของทวีปยุโรปอีกด้วย

เอซี มิลาน ใช้สนาม ซานซิโร่ (San Siro) หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า สตาดีโอ จูเซ็ปเป เมอัซซา (Stadio Giuseppe Meazza) เป็นสนามที่ใช้ในการเล่นในฐานะเจ้าบ้าน ร่วมกับทีมคู่ปรับร่วมเมืองอย่าง อินเตอร์

ประวัติ

AC Milan ย่อมาจาก Associazione Calcio Milan ได้ก่อตั้งสโมสรขึ้นเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1899 โดยชาวอังกฤษสามคน ได้พูดคุยกันที่ห้องหนึ่งในโรงแรม โฮเตล ดู นอร์ และเกิดความคิดที่จะสร้างสโมสรคริกเกตและฟุตบอลชื่อ “Milan Football and Cricket Club” ซึ่งตอนเริ่มก่อตั้งใหม่ๆ คลับแห่งนี้เน้นไปที่คริกเกตมากกว่า แต่เมื่อข่าวค่อยๆแพร่กระจายออกไป ก็มีผู้คนให้การสนับสนุนฟุตบอลมากขึ้นเรื่อยๆ โดยมีอัลเฟรด เอ็ดเวิร์ดส์ ทำหน้าที่ประธานสโมสรเป็นคนแรก โดยหลังจากที่ไปขึ้นทะเบียนกับสหภาพฟุตบอลอิตาเลียนแล้ว ทีมก็ได้เข้าร่วมชิงชัยในฟุตบอล รวมทั้งเริ่มสร้างสนามเพื่อใช้ในการเป็นเจ้าบ้าน โดยทำการสร้างสนามที่บริเวณทรอตเตอร์ ซึ่งในปัจจุบันก็คือ สถานีรถไฟกลางนั่นเอง

Herbert Kilpin ผู้ร่วมก่อตั้งสโมสรและรับหน้าที่นักเตะและผู้จัดการทีมของมิลานในยุคแรก


นัดเปิดสนามนัดแรกของสโมสรคือ การที่มิลานแข่งกับทีมเมดิโอลานุม ในวันที่ 11 มีนาคม ค.ศ. 1900 และมิลานเอาชนะไปได้ 3-0 ซึ่งผู้เล่น 11 คนแรกของสโมสรประกอบไปด้วย ฮู้ด ชิญญากี ตอร์เรตต้า ลีส์ คิลปินวาเลริโอ ดูบินี เดวีส์ เนวิลล์ อัลลิสัน ฟอร์เมนติ โดยในขณะนั้น เฮอร์เบิร์ต คิลปิน เป็นทั้งหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งสโมสรและเป็นกัปตันทีมฟุตบอล อีกทั้งยังได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดของทีมในขณะนั้น แต่ทว่าการแข่งขันอย่างเป็นทางการจริงๆ มิลานกลับแพ้โตริโน 0-3 เมื่อวันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 1900

ในปี ค.ศ. 1919 สโมสรได้เปลี่ยนชื่อเป็น “Milan Football Club” จากนั้นในปี ค.ศ. 1936 ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “Milan Associazione Sportiva” ต่อมาในปี ค.ศ. 1938 เปลี่ยนมาเป็น “Associazione Calcio Milano” สุดท้ายเปลี่ยนมาเป็น “Associazione Calcio Milan” ในปี ค.ศ. 1945 และใช้ชื่อนี้มาจนถึงปัจจุบัน เอซี มิลาน ใช้สีแดง-ดำ เป็นสีประจำทีม มีฉายาในภาษาอิตาเลียนว่า “รอสโซเนรี” หรือ “อิล ดิอาโวโล” ส่วนในภาษาไทยเรียกว่า “ปีศาจแดง-ดำ” และเรียกเหล่ากองเชียร์ของสโมสรว่า “มิลานิสตา”

เอซี มิลาน ใช้สนาม “ซานซีโร” หรือ “สตาดีโอ จูเซ็ปเป เมอัซซา” ซึ่งเป็นสนามประจำเมืองมิลาน มีความจุโดยประมาณ 80,074 คน (ปัจจุบัน) เป็นสนามประจำทีม โดยสนามซานซีโร สร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 กันยายน ค.ศ. 1926 ซึ่งผู้ที่ริเริ่มความคิดคือ ปิเอโร ปิเรลลี ประธานสโมสรของมิลานในขณะนั้น โดยเขาคิดที่จะมอบมันเป็นของขวัญให้กับสโมสร สนามซานซีโร ใช้เวลาในการสร้างทั้งหมด 1 ปี โดยสามารถจุผู้ชมได้ 10,000 ที่นั่ง ต่อมาในปี ค.ศ. 1939 ได้มีการปรับปรุงสนาม[[ซานซีโร] เพื่อให้สามารถรองรับแฟนบอลที่มาเข้าชมการแข่งขันได้มากขึ้น โดยครั้งนี้ได้เพิ่มจำนวนที่นั่งขึ้นไปเป็น 55,000 ที่นั่ง

สนามซานซิโร่ในช่วงปี 1950-60


ในปี ค.ศ. 1986 ได้มีการปรับปรุงสนามซานซีโร อีกครั้งหนึ่ง เพื่อใช้เป็นสนามในการจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก 1990 โดยครั้งนี้ได้มีการสร้างหลังคาที่ทำด้วยไฟเบอร์กลาส และสร้างหอคอยทางขึ้นอีก 11 ด้านเสียใหม่ รวมทั้งเพิ่มความจุของที่นั่ง จากเดิม 5 หมื่นกว่าที่นั่ง ไปเป็น 85,700 ที่นั่ง ซึ่งมีการคาดกันว่า ถ้านับกันจริงๆแล้ว สนามซานซีโร น่าจะสามารถรองรับผู้ชมได้ถึง 150,000 คน แต่เนื่องจากติดปัญหาในด้านความปลอดภัย สภาเมืองมิลานจึงได้ออกกฎห้ามมิให้มีผู้ชมเกินกว่า 100,000 คน

ซานซิโร่ หรือ จูเซปเป้ เมสซ่า ในปัจจุบันที่มิลานและอินเตอร์ใช้ร่วมกัน



เกียรติประวัติการแข่งขัน

- ยุคเริ่มก่อตั้งถึงยุคทศวรรษที่ 40 ยุคนี้ถือเป็นยุคมืดของมิลาน โดยตลอดระยะเวลาครึ่งศตวรรษ มิลานได้แชมป์อิตาเลี่ยน ฟุตบอล แชมเปี้ยนส์ชิพ หรือกัลโช่ เซเรีย อา เพียงแค่ 3 สมัยเท่านั้น ในปี 1901, 1906 และ 1907 รองแชมป์ 2 ครั้ง ในปี 1902 และ 1948, รองแชมป์โคปป้า อิตาเลีย 1 ครั้ง ในปี 1942 โดยแพ้ให้กับยูเวนตุส นอกจากนั้นแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เป็นชิ้นเป็นอัน ปล่อยให้เจนัว, โปร แวร์เชลลี่, ยูเวนตุส, อินเตอร์, โตริโน่ และโบโลญญ่า ผลัดกันขึ้นครองแชมป์อย่างสนุกมือ โดยนักเตะที่สำคัญในช่วงนี้ ได้แก่ เฮอร์เบิร์ต คิลปิน, หลุยส์ ฟาน แฮช, อัลโด้ เคเวนินี่, จูเซ็ปเป้ ซานตากอสติโน่, อัลโด้ โบฟฟี่, คาร์โล อันโนวาซซี่, เรนโซ่ บูรินี่ และโอเมโร่ โตญญ่อน เป็นต้น


- ยุคทศวรรษที่ 50 ยุคนี้ มิลานได้แชมป์กัลโช่ เซเรีย อา ถึง 4 สมัย ในปี 1951, 1955, 1957 และ 1959 รองแชมป์อีก 3 ครั้ง ในปี 1950, 1952 และ 1956 ส่วนในระดับทวีปนั้น มิลานได้เข้าชิงยูโรเปี้ยน คัพ ในปี 1958 แต่แพ้ต่อเรอัล มาดริด ยอดทีมในยุคนั้นไป 2-3 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ โดยนักเตะที่สำคัญในยุคนี้ ได้แก่ สามทหารเสือสวีดิช เกร-โน-ลี อย่างกุนน่าร์ เกร็น, กุนน่าร์ นอร์ดาห์ล และนิลส์ ลีดโฮล์ม นอกจากนี้ก็ยังมีอีกหลายคน เช่น เชซาเร่ มัลดินี่, ฮวน เชียฟฟิโน่, ฟรานเชสโก้ ซากัตติ, อาร์ตูโร่ ซิลเวสตรี้ และลอเรนโซ่ บุฟฟ่อน เป็นต้น

Gre No Li สามทหารเสือสวีดิชแห่งยุค 50



- ยุคทศวรรษที่ 60 ยุคนี้ถือเป็นยุครุ่งเรืองยุคหนึ่งของมิลาน โดยมิลานได้แชมป์กัลโช่ เซเรีย อา 2 สมัย ในปี 1962 และ 1968 รองแชมป์อีก 3 ครั้ง ในปี 1961, 1965 และ 1969, แชมป์โคปป้า อิตาเลีย 1 สมัย ในปี 1967 ที่เอาชนะปาโดว่า รองแชมป์อีก 1 ครั้ง ในปี 1968 ที่แพ้ต่อโตริโน่, แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ 2 สมัย ในปี 1963 ที่เอาชนะเบนฟิก้า ของ "เสือดำแห่งโมซัมบิก" ยูเซบิโอ้ ไป 2-1 และปี 1969 ที่ถล่มอาหยักซ์ ของ "นักเตะเทวดา" โยฮัน ครัฟฟ์ ไปถึง 4-1, แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ วินเนอร์ส คัพ 1 สมัย ในปี 1968 ที่เอาชนะฮัมบูร์ก และได้แชมป์สโมสรโลก 1 สมัย โดยเอาชนะเอสตูเดียนเตส ในปี 1969 รองแชมป์อีก 1 ครั้ง ในปี 1963 ที่พ่ายต่อซานโต๊ส ของ "ไข่มุกดำ" เปเล่ โดยนักเตะที่สำคัญในยุคนี้ ได้แก่ จานนี่ ริเวร่า, โฮเซ่ อัลตาฟินี่, ปิเอริโน่ ปราติ, อันเจโล่ ซอร์มานี่, จานคาร์โล ดาโนว่า, คาร์ล-ไฮนซ์ ชเนลลิงเก้อร์, มาริโอ้ เตรบบี้, บรูโน่ โมร่า, โจวานนี่ โลเดตติ, มาริโอ้ ดาวิด, โจวานนี่ ตราปัตโตนี่, อันเจโล่ อันกวิลเลตติ, โรแบร์โต้ โรซาโต้, ลุยจิ ราดิเซ่, ดิโน่ ซานี่, จอร์โจ้ เกซซี่ และฟาบิโอ้ คูดิชินี่ เป็นต้น โดยยอดผู้จัดการทีมของมิลานในยุคนี้ คือ เนเรโอ้ ร็อคโค่


- ยุคทศวรรษที่ 70 ยุคนี้ถือเป็นยุคประคองตัว ความสำเร็จภายในประเทศตกไปเป็นของยูเวนตุสอีกครั้ง ส่วนในระดับยุโรป ก็ไม่สามารถที่จะขึ้นไปทาบรัศมีของอาหยักซ์, บาเยิร์น และลิเวอร์พูลได้เลย โดยมิลานได้แชมป์กัลโช่ เซเรีย อา เพียงแค่ 1 สมัย ในปี 1979 รองแชมป์ 3 ครั้งติดต่อกัน ในปี 1971, 1972 และ 1973, แชมป์โคปป้า อิตาเลีย 3 สมัย ในปี 1972, 1973 และ 1977 ที่ชนะนาโปลี, ยูเวนตุส และอินเตอร์ ตามลำดับ รองแชมป์อีก 2 ครั้ง ในปี 1971 ที่แพ้ต่อโตริโน่ และในปี 1975 ที่แพ้ต่อฟิออเรนติน่า, แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ วินเนอร์ส คัพ 1 สมัย ในปี 1973 ที่เอาชนะลีดส์ และรองแชมป์ 1 ครั้ง ในปี 1974 ที่แพ้ต่อมักเดบวร์ก นอกจากนี้ ยังได้รองแชมป์ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ คัพ 1 ครั้ง ในปี 1973 โดยที่นัดแรกเล่นในบ้าน เอาชนะอาหยักซ์ได้ 1-0 แต่พอไปเยือนกลับโดนอัดกลับมาถึง 6-0 ชวดแชมป์ไปอย่างเจ็บปวด โดยนักเตะที่สำคัญในยุคนี้ ได้แก่ อัลแบร์ติโน่ บิก้อน, อัลโด้ มัลเดร่า, จูเซ็ปเป้ ซาบาดินี่, อัลโด้ เบท, เอกิดิโอ้ คัลโลนี่, ฟูลวิโอ้ โคลโลวาติ, เอ็นริโก้ อัลแบร์โตซี่, โรเมโอ เบเนตติ และรูเบน บูริอานี่ เป็นต้น


- ยุคทศวรรษที่ 80 ในช่วงต้นทศวรรษถือเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดของสโมสร

เมื่อมิลานถูกปรับตกชั้นในปี 1980 จากข้อหาพัวพันกับคดีการล้มบอลของประธานสโมสร เฟลิเซ่ โคลอมโบ้ และผู้รักษาประตูของทีมอย่างเอ็นริโก้ อัลแบร์โตซี่ ทำให้ทีมต้องลงเล่นในศึกกัลโช่ เซเรีย บี เป็นครั้งแรก ซึ่งถึงแม้ว่าจะคว้าแชมป์เซเรีย บี ได้ในทันที แต่เมื่อกลับคืนสู่เซเรีย อา ได้เพียงฤดูกาลเดียวก็ต้องตกชั้นอีก อย่างไรก็ตาม มิลานก็สามารถกลับคืนสู่เซเรีย อา ในฐานะแชมป์เซเรีย บี อีกครั้ง ในปี 1983 แต่ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน ประธานสโมสร จูเซ็ปเป้ ฟาริน่า ได้พัวพันกับคดีทางกฎหมาย จนทำให้เขาตัดสินใจหนีไปอยู่ที่แอฟริกาใต้ พร้อมกับเอาเงินของสโมสรไปด้วย มิลานในขณะนั้นจึงอยู่ในสภาพเกือบล้มละลาย แต่เมื่อมีมหาเศรษฐีที่ชื่อ ซิลวิโอ้ แบร์ลุสโคนี่ เข้ามาเทคโอเวอร์กิจการของสโมสรในปี 1986


มิลานก็เริ่มเข้าสู่ยุครุ่งเรืองอีกครั้ง โดยมิลานได้แชมป์กัลโช่ เซเรีย อา 1 สมัย ในปี 1988, รองแชมป์โคปป้า อิตาเลีย 1 ครั้ง ในปี 1985 ที่แพ้ต่อซามพ์โดเรีย, ได้แชมป์อิตาเลี่ยน ซูเปอร์ คัพ 1 สมัย ในปี 1988 ที่ชนะซามพ์โดเรีย, แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ 1 สมัย ในปี 1989 ที่ถล่มสเตอัว บูคาเรสต์ 4-0, แชมป์ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ คัพ 1 สมัย ในปี 1989 ที่เอาชนะบาร์เซโลน่า และได้แชมป์สโมสรโลก 1 สมัย ในปี 1989 อีกเช่นกัน โดยเอาชนะแอตเลติโก้ นาซิอองนาล 1-0 ซึ่งนักเตะที่สำคัญในยุคนี้ ได้แก่ สามทหารเสือดัตช์อย่าง มาร์โก้ ฟาน บาสเท่น, รุด กุลลิต และแฟรงค์ ไรจ์การ์ด นอกจากนั้นก็ยังมี เปาโล มัลดีนี่, ฟรังโก้ บาเรซี่, อเลสซานโดร คอสตาคูร์ต้า, เมาโร่ ตัสซอตติ, ฟิลิปโป้ กัลลี่, โจวานนี่ กัลลี่, โรแบร์โต้ โดนาโดนี่, อัลเบริโก้ เอวานี่, คาร์โล อันเชลอตติ, ดานิเอเล่ มัสซาโร่, ปิเอโตร วีร์ดิส และอันเจโล่ โคลอมโบ้ เป็นต้น โดยยอดผู้จัดการทีมของมิลานในยุคนี้คือ อาร์ริโก้ ซาคคี่ ปรมาจารย์ลูกหนัง ผู้ให้กำเนิดโซนเพรส (เพรสซิ่ง ฟุตบอล)



3 ทหารเสือดัทช์ที่ไร้เทียมทานในช่วงปลายทศวรรษ 80



มิลาน 1989

- ยุคทศวรรษที่ 90 ยุคนี้ถือเป็นยุคไร้เทียมทาน เป็นยุคทองของสโมสรอย่างแท้จริง

มิลานได้ประกาศศักดาความยิ่งใหญ่ไปทั่วโลก โดยได้แชมป์กัลโช่ เซเรีย อา ถึง 5 สมัย ซึ่งเป็น 3 สมัยติดต่อกันด้วย ในปี 1992, 1993 และ 1994 ซึ่งช่วงเวลานี้เอง ที่มิลานทำสถิติไร้พ่ายในลีกติดต่อกันถึง 58 นัด จากนั้นก็ยังได้แชมป์อีก 2 สมัย ในปี 1996 และ 1999 รองแชมป์ 2 ครั้งติดต่อกัน ในปี 1990 และ 1991, รองแชมป์โคปป้า อิตาเลีย 2 ครั้ง ในปี 1990 ที่แพ้ยูเวนตุส และปี 1998 ที่แพ้ให้กับลาซิโอ้, ได้แชมป์อิตาเลี่ยน ซูเปอร์ คัพ 3 สมัยติดต่อกัน ในปี 1992, 1993 และ 1994 ที่ชนะปาร์ม่า, โตริโน่ และซามพ์โดเรีย ตามลำดับ รองแชมป์อีก 2 ครั้ง ในปี 1996 ที่พ่ายให้กับฟิออเรนติน่า และปี 1999 ที่พ่ายต่อปาร์ม่า ส่วนในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มิลานได้แชมป์ 3 สมัย จากการเข้าชิง 5 ครั้ง ในรอบ 7 ปี โดยนอกจากปี 1989 แล้ว ในปี 1990 เอาชนะเบนฟิก้าได้ 1-0 และปี 1994 ที่ถล่มบาร์เซโลน่า ซึ่งถือเป็นดรีมทีมในช่วงนั้นไปเละเทะถึง 4-0 รองแชมป์อีก 2 ครั้ง ในปี 1993 ที่พ่ายต่อมาร์กเซย และปี 1995 ที่พ่ายต่ออาหยักซ์, แชมป์ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ คัพ 2 สมัย ในปี 1990 ที่ชนะซามพ์โดเรีย และปี 1994 ที่ชนะอาร์เซน่อล รองแชมป์ 1 ครั้ง ในปี 1993 ที่พ่ายปาร์ม่า นอกจากนี้ ยังได้แชมป์สโมสรโลกอีก 1 สมัย ในปี 1990 ที่เอาชนะโอลิมเปีย 3-0 รองแชมป์อีก 2 ครั้ง ในปี 1993 ที่แพ้ต่อเซา เปาโล และปี 1994 ที่แพ้ต่อเบเลซ ซาร์สฟิลด์


โดยนักเตะที่สำคัญในยุคนี้ นอกเหนือจากผู้เล่นที่เหลืออยู่จากช่วงปลายทศวรรษที่ 80 แล้ว ก็ยังมีเพิ่มอีกหลายคน ได้แก่ เซบาสเตียโน่ รอสซี่, เดยัน ซาวิเซวิช, เดเมตริโอ้ อัลแบร์ตินี่, มาร์กแซล เดอไซญี่, มาร์โก้ ซิโมเน่, ซโวนีเมียร์ โบบัน, ฌอง-ปิแอร์ ปาแปง, จอร์จ เวอาห์, คริสเตียน ปานุชชี่, สเตฟาโน่ เอรานิโอ้, โรแบร์โต้ บาจโจ้, เลโอนาร์โด้ และโอลิเวอร์ เบียร์โฮฟฟ์ เป็นต้น โดยยอดผู้จัดการทีมของมิลานในยุคนี้ คือ ฟาบิโอ้ คาเปลโล่


Savicevic และ Boban ในแมทช์นัดชิง UCL ที่เอาชนะบาซ่าไป 4-0



- ยุคมิลเลนเนี่ยม 2000 ยุคนี้ถือเป็นยุคฟื้นฟูความสำเร็จ

หลังจากตกต่ำไประยะหนึ่ง โดยในฤดูกาล 1999-2000 มิลานได้อันดับที่ 3 ในกัลโช่ เซเรีย อา ในโคปป้า อิตาเลีย ตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย โดยพ่ายให้กับอินเตอร์ ส่วนในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ตกรอบแบ่งกลุ่มรอบแรก, ฤดูกาล 2000-2001 ได้อันดับที่ 6 ในกัลโช่ เซเรีย อา ในโคปป้า อิตาเลีย ตกรอบรองชนะเลิศ โดยแพ้ฟิออเรนติน่า ส่วนในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ตกรอบแบ่งกลุ่มรอบที่สอง


ฤดูกาล 2001-2002 มิลานได้แต่งตั้งคาร์โล อันเชลอตติ ขึ้นเป็นผู้จัดการทีม โดยฤดูกาลนี้ มิลานได้อันดับที่ 4 ในกัลโช่ เซเรีย อา ในโคปป้า อิตาเลีย แพ้ยูเวนตุส ตกรอบรองชนะเลิศ ส่วนในยูฟ่า คัพ ก็ตกรอบรองชนะเลิศเช่นกัน โดยพ่ายให้กับดอร์ทมุนด์, ฤดูกาล 2002-2003 ได้อันดับที่ 3 ในกัลโช่ เซเรีย อา แต่ได้ดับเบิลแชมป์ คือ แชมป์โคปป้า อิตาเลีย สมัยที่ 5 โดยเอาชนะโรม่าได้ ส่วนในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เริ่มแข่งขันตั้งแต่รอบคัดเลือก รอบที่สาม และผ่านสโลวาน ริเบอเรช ไปได้อย่างหวุดหวิด ด้วยกฎการยิงประตูในฐานะทีมเยือน จากนั้นก็ผ่านได้ทั้งบาเยิร์น, ล็องส์, กอรุนญ่า, เรอัล มาดริด, ดอร์ทมุนด์, โลโกโมทีฟ มอสโก, อาหยักซ์ และอินเตอร์ ก่อนที่จะมาดวลจุดโทษเอาชนะยูเวนตุสได้ในนัดชิงชนะเลิศ คว้าแชมป์สมัยที่ 6 มาครองได้สำเร็จ


มิลานชุดแชมป์ UCL 2002-03


ฤดูกาล 2003-2004 เริ่มต้นด้วยการแพ้ในการดวลจุดโทษต่อยูเวนตุส และโบค่า ในอิตาเลี่ยน ซูเปอร์ คัพ และสโมสรโลก ตามลำดับ แต่ก็ยังได้แชมป์ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ คัพ โดยเอาชนะปอร์โต้ คว้าแชมป์มาครองเป็นสมัยที่ 4 แถมยังคว้าแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา มาครองได้เป็นสมัยที่ 17 ส่วนในโคปป้า อิตาเลีย แพ้ลาซิโอ้ ตกรอบรองชนะเลิศ และในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายแบบช็อคโลก ในนัดที่ 2 ที่พ่ายต่อกอรุนญ่า


ฤดูกาล 2004-2005 ได้แชมป์อิตาเลี่ยน ซูเปอร์ คัพ สมัยที่ 5 โดยเอาชนะลาซิโอ้ ในโคปป้า อิตาเลีย ตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย เมื่อแพ้ต่ออูดิเนเซ่ และได้ดับเบิ้ลรองแชมป์ ทั้งในเวทีกัลโช่ เซเรีย อา และเหตุการณ์ช็อคโลกอีกครั้ง ในนัดชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่สนามอาตาเติร์ก เมื่อ 3 ประตูที่นำอยู่ในครึ่งแรก ไม่สามารถที่จะทำให้มิลานคว้าแชมป์มาครองได้ โดยถูกลิเวอร์พูลยิง 3 ประตูตีเสมอ ด้วยเวลาเพียง 6 นาที และไปดวลจุดโทษเอาชนะมิลานได้ในที่สุด ทำให้มิลานต้องพลาดแชมป์ไปอย่างเจ็บปวด, ฤดูกาล


2005-2006 ได้รองแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา อีกครั้ง (ภายหลังโดนตัดแต้ม จากกรณีล็อกสเปคผู้ตัดสิน จนต้องหล่นลงมาอยู่อันดับที่ 3) ในโคปป้า อิตาเลีย ตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย โดยแพ้ให้กับปาแลร์โม่ ส่วนในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก พ่ายต่อบาร์เซโลน่า ในรอบรองชนะเลิศ,



เชว่าและกาก้ากับความผิดหวังในนัดชิง 2004-05 ที่ถูกหงส์แดงตีเสมอและพ่ายจุดโทษ


ฤดูกาล 2006-2007 ในกัลโช่ เซเรีย อา มิลานเริ่มต้นด้วยการถูกตัด 8 คะแนน ซึ่งก็เป็นผลพวงมาจากกรณีล็อกสเปคผู้ตัดสิน แต่ก็ยังไต่ขึ้นมาอยู่อันดับที่ 4 ได้ ขณะที่ในโคปป้า อิตาเลีย แพ้โรม่า ตกรอบรองชนะเลิศ ส่วนในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มิลานต้องมาเริ่มต้นในรอบคัดเลือก รอบที่สาม และเอาชนะเคอร์เวน่า ซเวซด้าได้ ทำให้ผ่านเข้ารอบแบ่งกลุ่ม จากนั้นก็ผ่านได้ทั้งเออีเค เอเธนส์, อันเดอร์เลชท์, ลีลล์, เซลติค, บาเยิร์น และแมน ยูไนเต็ด ก่อนที่จะมาล้างแค้น เอาชนะลิเวอร์พูลได้ 2-1 ในนัดชิงชนะเลิศ คว้าแชมป์สมัยที่ 7 มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยฝีเท้าอันเอกอุของกาก้าและพรรคพวก จากนั้นก็สามารถเอาชนะเซบีญ่า คว้าแชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ สมัยที่ 5 มาครอง และปิดท้ายปี 2007 ด้วยการคว้าแชมป์สโมสรโลก ได้เป็นสมัยที่ 4 โดยแก้แค้นโบค่า ได้สำเร็จในนัดชิงชนะเลิศ พร้อมกับส่งให้กาก้า คว้าตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี 2007 ในทุกสถาบัน


มิลานกลับมาล้างแค้นหงส์แดงและควา้าแชมป์สมัยที่ 7 สำเร็จ


ฤดูกาล 2007-2008 ในกัลโช่ เซเรีย อา มิลานได้แค่อันดับที่ 5 ส่วนในโคปป้า อิตาเลีย และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายทั้งสองรายการ โดยแพ้ต่อคาตาเนีย และอาร์เซน่อล ตามลำดับ, ฤดูกาล 2008-2009 ในกัลโช่ เซเรีย อา มิลานได้อันดับที่ 3 ส่วนในโคปป้า อิตาเลีย ตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย โดยแพ้ต่อลาซิโอ้ และในยูฟ่า คัพ ตกรอบ 32 ทีมสุดท้าย ด้วยน้ำมือของเบรเมน, ฤดูกาล 2009-2010 ในกัลโช่ เซเรีย อา มิลานได้อันดับที่ 3 อีกครั้ง ส่วนในโคปป้า อิตาเลีย ตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย โดยพ่ายต่ออูดิเนเซ่ และในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย โดยถูกแมน ยูไนเต็ดไล่ถลุงเละเทะ


- ยุคทศวรรษ 2010 ฤดูกาล 2010-2011 ในกัลโช่ เซเรีย อา มิลานคว้าแชมป์สมัยที่ 18 มาครองได้สำเร็จ ส่วนในโคปป้า อิตาเลีย ตกรอบรองชนะเลิศ โดยพ่ายต่อปาแลร์โม่ และในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย โดยแพ้ต่อสเปอร์ส, ฤดูกาล 2011-2012 เริ่มต้นฤดูกาล เอาชนะอินเตอร์ ได้แชมป์ซูเปอร์โคปป้า อิตาเลียน่า มาครองได้เป็นสมัยที่ 6 ในกัลโช่ เซเรีย อา มิลานได้รองแชมป์ ส่วนในโคปป้า อิตาเลีย ตกรอบรองชนะเลิศ โดยพ่ายต่อยูเวนตุส และในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย โดยแพ้ต่อบาร์เซโลน่า,ฤดูกาล 2012-2013 ในกัลโช่ เซเรีย อา มิลานได้อันดับที่ 3 ส่วนในโคปป้า อิตาเลีย ตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย โดยพ่ายต่อยูเวนตุส และในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย โดยแพ้ต่อบาร์เซโลน่า, ฤดูกาล 2013-2014 มิลานฟอร์มแย่ตั้งแต่ต้นฤดูกาล จนต้องปลดโค้ชมัสซิมิเลียโน่ อัลเลกรี้ออก แล้วแต่งตั้งคลาเรนซ์ ซีดอร์ฟ ขึ้นรับตำแหน่งแทน โดยที่ในกัลโช่ เซเรีย อา มิลานได้อันดับที่ 8 ส่วนในโคปป้า อิตาเลีย ตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย โดยแพ้ให้กับอูดิเนเซ่ และในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย โดยพ่ายให้กับแอตเลติโก้ มาดริด ไปแบบสู้ไม่ได้


มิลาน 2010-11 ชุดแชมป์กัลโช่สมัยที่ 18

เกียรติประวัติ

Domestic

League

Cups

European

Worldwide

นักเตะยอดเยี่ยมบัลลง ดอร์

นักเตะทีมเอซี มิลาน เคยได้รับรางวัล "บัลลง ดอร์" หรือ "นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของยุโรป" 8 ครั้ง เป็นรองบาร์เซโลน่า ที่ได้ไป 9 ครั้ง เพียงแค่ทีมเดียว ซึ่งนักเตะทีมเอซี มิลาน เคยได้รับรางวัล "บัลลง ดอร์" ได้แก่

1. จานนี่ ริเวร่า ในปี 1969 2. รุด กุลลิต ในปี 1987 3. มาร์โก้ ฟาน บาสเท่น ได้ 3 ครั้ง ในปี 1988, 1989 และ 1992 6. จอร์จ เวอาห์ ในปี 1995 7. อังเดร เชฟเชนโก้ ในปี 2004 8. กาก้า ในปี 2007

เหล่านักเตะยอดเยี่ยมที่ได้บัลลงดอร์ของมิลาน



ข้อมูลโดย Milanista_99 ปรับปรุงโดย Bigg

 
 
 

Recent Posts

See All

Comments


© 2023 by The Artifact. Proudly created with Wix.com

  • Facebook B&W
  • Twitter B&W
  • Instagram B&W
bottom of page